วิธีการเลือกกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ แบบเข้าใจง่ายที่สุด

วิธีการเลือกกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ แบบเข้าใจง่ายที่สุด

เพิ่งเข้าวงการกองทุนรวมไม่รู้จะเลือกกองทุนรวมไหนดี? เตรียมพบกับเทคนิคดีๆ ในการเลือกกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ที่เข้าใจได้อย่างง่ายดาย

ทำความรู้จักกับกองทุนรวมให้มากยิ่งขึ้น

“กองทุนรวม” หรือ Mutual Fund เป็นการรวบรวมเงินของนักลงทุนหลายรายมารวมกันเพื่อนำไปซื้อสินทรัพย์ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้จัดการเลือกกองทุนที่มีประสิทธิภาพหรือตามนโยบายที่ทางผู้จัดการกองทุนได้ตั้งไว้

เปิด 7 เคล็ดลับเลือกกองทุนรวมสำหรับมือใหม่

ปัจจุบันมีประเภทของกองทุนรวมให้ได้เลือกมากมายทำให้มือใหม่หลายคนไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนไหนดี มาเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเลือกทุนหากคุณเป็นมือใหม่ที่สนใจจะซื้อกองทุนรวม

1.ทำความรู้จักประเภทของกองทุนรวมให้ครบถ้วน

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งรู้จักกองทุนรวมและมีความสนใจที่เลือกซื้อกองทุนรวม ควรทำความรู้จักประเภทของกองทุนรวมให้ครบทุกประเภทเพื่อจะได้ตัดสินใจเลือกซื้อหรือลงทุนได้ตามเป้าหมายที่เราต้องการ โดยประเภทของกองทุนรวมมีดังนี้

  • กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้
  • กองทุนรวมตลาดเงิน: ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีกำหนดชำระเงินต้น
  • กองทุนรวมตราสารทุน: เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นประเภทต่างๆ 
  • กองทุนรวมผสม: เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
  • กองทุนรวมตามหมวดอุตสาหกรรม: เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม

กองทุนรวมทางเลือก: เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในทางเลือกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากสินทรัพย์พื้นฐาน

2.ศึกษาปัจจัยที่สำคัญก่อนเลือกซื้อกองทุนรวม

ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อกองทุนมีหลายปัจจัย โดยปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจมีดังนี้

  • ระดับความเสี่ยง: โดยปกติกองทุนรวมแต่ละประเภทจะมีความเสี่ยงตั้งแต่ 1 – 8 ซึ่งความเสี่ยงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือกลงทุนของผู้ที่ต้องการซื้อกองทุนรวม
  • ผลตอบแทนย้อนหลัง: ก่อนจะซื้อกองทุนรวมควรเลือกดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่จะซื้อเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจว่ากองทุนที่เราจะลงทุนมีแนวโน้มผลตอบแทนในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี, 5 ปี หรือ 10 ปี เป็นยังไงบ้าง การดูผลตอบแทนย้อนหลังจะทำให้เราทราบภาพรวมของกองทุน
  • นโยบายของกองทุนรวม: นักลงทุนควรเลือกนโยบายการลงทุนหรือตรวจสอบการลงทุนให้แบบละเอียดเพื่อจะได้รู้ว่าแนวทางการลงทุนในสินทรัพย์ของกองทุนเป็นไปในทิศทางใด
  • ข้อมูลสำคัญในหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet): หนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) เป็นเอกสารที่ควรศึกษาก่อนลงทุนเนื่องจากมีข้อมูลทุกอย่างของกองทุนรวมไว้ให้ในที่เดียว
  • มูลค่าสินทรัพย์ต่อหน่วยลงทุน: มูลค่าสินทรัพย์ต่อหน่วยลงทุนหรือ NAV ต่อหน่วย เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรสนใจเนื่องจากเป็นตัวแปรที่บอกว่า กองทุนที่เราสนใจถูกหรือแพง
  • หากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมแก่ตัวเอง

นักลงทุนมือใหม่ควรหากลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการลงทุนที่สูงสุด ซึ่งหากศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่ากลยุทธ์ในการลงทุนมีดังนี้

  • Dollar Cost Averaging (DCA) 

เป็นการลงทุนที่นำเงินลงทุนเป็นงวดๆ ด้วยเงินจำนวนที่เท่ากันในแต่ละครั้ง โดยไม่สนว่าราคาของหน่วยกองทุน ณ เวลานั้นจะขึ้นหรือลงเป็นการลงที่ต้องการความสม่ำเสมอ การลงทุนแบบ DCA จึงถือเป็นการลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระยะยาว

  • Lump Sum

เป็นการลงทุนที่นำเงินลงทุนก้อนใหญ่มาลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมโดยต้องมั่นใจว่ากองทุนที่ได้ลงทุนไปจะมีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนแบบ “Lump Sum” จะได้ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน

  • Core & Satellite

อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการลงทุนที่ได้รับความนิยม Core & Satellite เป็นการลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนจากสภาวะที่ผันผวนของตลาด โดยจะแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ

  • ส่วนหลัก (Core): ส่วนนี้จะหวังการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนในระยะยาว
  • ส่วนเสริม (Satellite): ส่วนเสริมจะมีเป้าหมายในการลงทุนที่หวังทำกำไรในระยะกลาง – สั้น

4.กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน

เมื่อรู้ปัจจัยและรายละเอียดของแต่ละกองทุน “การกำหนดเป้าหมาย” การลงทุนให้ชัดเจนจะทำให้นักลงทุนสามารถรู้ได้ว่าต้องลงทุนในระยะยาวหรือระยะสั้น รับความเสี่ยงได้ในระดับไหน จะทำให้ลงทุนได้อย่างตรงจุดประสงค์

5.ทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายในการลงทุน

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่มือใหม่ไม่ควรพลาด ในการลงทุนกองทุนรวมไม่ควรมองข้ามค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายซึ่งกองทุนแต่ละกองทุนจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป บางกองทุนอาจเรียกเก็บตอนซื้อหรือตอนขาย บางกองทุนอาจไม่มีค่าธรรมเนียมหรือบางกองทุนอาจมีการเก็บค่าบริหารจัดการกองทุนแทน โดยค่าธรรมเนียมที่มีการเรียกเก็บจากนักลงทุนมีดังนี้

  • ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-End): เป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตอนขายหน่วยลงทุน
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อคืน (Back-End): เป็นค่าธรรมเนียมที่เก็บเมื่อขายกองทุน โดยกองทุนจะซื้อหน่วยลงทุนเราคืนไป

ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม: เป็นค่าธรรมเนียมที่หักเปอร์เซ็นต์จากกองทุนรวมในทุกวัน

6.เลือกเวลาซื้อและขายออกให้เหมาะสม

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการนี้ไม่นาน การเลือกเวลาซื้อและขายหน่วยกองทุนในเวลาที่เหมาะสมถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง โดยปกติการเลือกซื้อหน่วยกองทุนจะเลือกซื้อช่วงที่ราคาต่ำเพื่อจะได้นำไปขายในราคาที่สูงเพื่อหากำไรจากผลต่างของหน่วยกองทุนที่ขายไป

7.ติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ซื้อไป

แม้กองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่คอยจัดการสินทรัพย์ที่เรานำไปลงทุน แต่การติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ซื้อถือเป็นสิ่งที่มือใหม่ควรทำอยู่เป็นประจำ อย่างน้อยควรติดตามผลการดำเนินงานในทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อจะได้รู้ว่ากองทุนที่ซื้อไปมีประสิทธิภาพและเป็นกองทุนที่ดีหรือไม่  หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวังจะได้ขายออกได้ทัน

มือใหม่ลงทุนในกองทุนรวมประเภทไหนดี

สำหรับมือใหม่ที่แม้จะรู้เคล็ดลับหรือเทคนิคในการเลือกกองทุนรวมไปแล้ว แต่บางคนอาจยังไม่มั่นใจหรือไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุน ในกองทุนประเภทไหน มาดูประเภทของกองทุนที่น่าลงทุนสำหรับมือใหม่กันดีกว่า

1.กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short Term Bond Fund)

เป็นกองทุนที่มีระยะเวลาในการลงทุนไม่เกิน 1 ปี ทำให้มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่สูงแต่ได้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเหมาะมากสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม

ตัวอย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นที่น่าสนใจ

  • กองทุนเปิดเคเอ ชอร์ท เทอม ฟิกซ์ อินคัม (KASF) 
  • กองทุนเปิดเคเคพี ตราสารหนี้พลัส ชนิดทั่วไป (KKP Plus) 
  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ ชนิดสะสมมูลค่า (SCBFIXEDA)
  • กองทุนเปิดเค เอสเอฟ พลัส (K-SFPLUS)

2.กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง (Medium Term Bond Fund)

หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่รับความเสี่ยงระดับปานกลางได้ โดยกองทุนประเภทนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาคงเหลือ 1 – 7 ปี ซึ่งผลตอบแทนที่ได้มีแนวโน้มที่จะเติบโตมากกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น แต่ก็แลกมากับความผันผวนที่มากกว่า

ตัวอย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางที่น่าลงทุน

  • กองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะกลาง (KFMTFI) 
  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เกษียณสุข (SCBRF)
  • กองทุนเปิดเค หุ้นกู้ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (K-CBOND-A)
  • กองทุนเปิด ไทย ตราสารหนี้ (TFIF)

3.กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Equity Fund)

กองทุนรวมหุ้นระยะยาวเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีระยะเวลามากกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงระดับปานกลางแต่มีประสิทธิภาพในการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน ถ้าหากคุณเป็นนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในระยะยาวได้ การเลือกซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาวถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี

ตัวอย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนที่ดี

  • กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (K-FIXED-A)
  • กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้ไทย (PBOND)
  • กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (AIA-IC)
  • กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ โปรแอคทีฟ (K-FIXEDPRO

4.กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)

กองทุนรวมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในความเสี่ยงที่ต่ำและมีสภาพคล่องที่สูง สินทรัพย์ที่ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถขายคืนได้อย่างรวดเร็ว แม้จะได้ผลตอบแทนไม่มากแต่ผลตอบแทนมีความสม่ำเสมอแน่นอน

ตัวอย่างกองทุนรวมตลาดเงินที่เหมาะสำหรับมือใหม่

  • กองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน (T-Cash)
  • กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ ชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (TCMF)
  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารตลาดเงิน ชนิดสะสมมูลค่า (SCBMONEY(A))
  •  กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน-สะสมมูลค่า (KFCASH-A)

สรุป

  • การเลือกกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ควรเริ่มต้นจากการศึกษารายละเอียดของการลงทุนในกองทุนรวมให้ละเอียด
  • กำหนดเป้าหมายของตัวเองในการลงทุนเพื่อจะได้รู้ว่าเราเหมาะกับกองทุนรวมประเภทไหน
  • หากลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง
  • โดยการเลือกกองทุนรวมควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้รอบคอบก่อนการลงทุนในแต่ละครั้ง
  • สำหรับมือใหม่อาจจะเริ่มลงทุนโดยการเลือกลงทุนในระดับความเสี่ยงต่ำ มีสภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ง่าย
  • จำไว้ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แม้จะเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงแต่ควรพร้อมรับกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้