กองทุนรวม คืออะไร ข้อดี ข้อเสีย คืออะไร

ปัจจุบันหากคุณไม่มีเวลาให้กับการลงทุนในหุ้นของคุณ การซื้อกองทุนรวมถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่กำลังมองหาลู่ทางในการลงสนามการลงทุน วันนี้เราไปทำความรู้จักกับกองทุนรวมให้มากขึ้นกันดีกว่า

ทำความรู้จักกับกองทุนรวม

กองทุนรวมเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอะไร

  • อาจเป็นข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนว่ากองทุนรวมกองทุนแรกเกิดขึ้นเมื่อใด
  • ซึ่งตามข้อมูลที่ได้รับมาจะพบว่ากองทุนกองแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1774 โดยพ่อค้าชาวดัชต์ชื่อ Adriaan Van Ketwich ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ Eendragt Maakt Magt
  • แต่ต่อมาในปี 1924 ได้เป็นการถือกำเนิดของกองทุนรวมในยุคสมัยใหม่ขึ้นในเมือง Boston ประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากนั้นเป็นต้นมากองทุนรวมก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน 
  • จนกลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่มีจำนวนเงินลงทุนน้อย

กองทุนรวมเข้ามาในประเทศไทยเมื่อใด

  • กองทุนในประเทศไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเกิดตรงกับยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
  • เป็นเวลากว่า 47 ปี ที่กองทุนรวมค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงในปัจจุบัน 
  • โดยปัจจุบันมูลค่าของกองทุนรวมคิดเป็น 1 ใน 3 ของ GDP ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
  • “กองทุนสินภิญโญ” ถือเป็นกองทุนรวมกองแรกของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2520
  • ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีกองทุนรวมมากกว่า 2,000 กองทุน ให้ได้เลือกลงทุน

ความหมายของกองทุนรวม

  • กองทุนรวม หมายถึง การระดมเงินทุนจากนักลงทุนหลายรายมารวมกันให้เป็นก้อนใหญ่
  • เพื่อนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์หรือตามที่นโยบายของกองทุนนั้นๆ ได้กำหนดไว้
  • ซึ่งการลงทุนที่ถูกนำไปลงทุนจะมีตั้งแต่การลงทุนในตราสารหนี้, หุ้นต่างประเทศและในประเทศ, อสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่นๆ

วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งกองทุนรวมในประเทศไทย

  • เพื่อเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนของสถาบันในประเทศไทย
  • ส่งเสริมให้คนไทยมีนิสัยรักการลงทุนในระยะยาวมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนที่หลากหลาย

กองทุนรวมมีกี่รูปแบบ

สำหรับกองทุนรวมมีด้วยกัน 2 แบบหลักๆ ได้แก่ กองทุนแบบ Active และกองทุนแบบ Passive โดยความแตกต่างของกองทุนทั้ง 2 รูปแบบมีดังนี้

กองทุนรวมแบบ Passive Fund

  • กองทุนแบบ Passive Fund หรือ Index Fund หรือรู้จักกันในอีกชื่อ กองทุนรวมดัชนี เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้
  • กองทุนแบบ Passive Fund ไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการกองทุน
  • โดยกองทุนนี้จะทำการเลือกหุ้นทุกตัวในตลาดที่มีราคาสมเหตุสมผล
  • กองทุนรูปแบบนี้จะเป็นการลงทุนเลียนแบบดัชนี ทำให้สามารถถือหุ้นได้ยาวกว่า
  • กองทุนรูปแบบนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการถือหุ้นระยะยาวและผู้ที่ไม่มีความรู้หรือไม่มีเวลาในการวิเคราะห์
  • สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนแบบ Passive Fund มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนแบบ Active
  • สำหรับข้อเสียของกองทุนรูปแบบนี้คือ จะมีความผันผวนตามราคาหุ้นในตลาด อีกทั้งกองทุนรวมดัชนีไม่สามารถลดทอนหรือขายหุ้นออกจากพอร์ตได้หมด หากว่าราคาหุ้นลดลงอาจจะมีความเสี่ยงสูง

กองทุนรวมแบบ Active Fund

  • เป็นการลงทุนหรือบริการแบบเชิงรุก
  • กองทุนประเภทนี้จะใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกสินทรัพย์
  • เป้าหมายของกองทุนนี้คือต้องการให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
  • โดยสามารถแบ่งการวิเคราะห์ของกองทุนได้ 2 แบบ คือ วิเคราะห์แบบ Top-Down Analysis และวิเคราะห์แบบ Bottom-Up Analysis 
  • สำหรับกองทุน Active Fund จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่แพงกว่า Passive Fund แต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าหากได้ผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถ
  • อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสภาวะของเศรษฐกิจ
  • เหมาะมากสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนสูงได้

ข้อดี – ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวมมีอะไรบ้าง

ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม

  • การกระจายความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนรวมถือเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างดีเนื่องจากการซื้อกองทุนรวมเป็นการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัยพ์กระจายๆ ไม่ได้ลงทุนตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก 
  • สามารถเข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่ได้มีเงินทุนมากนัก ในการลงทุนหลักทรัพย์แบบหลายตัว
  • มีความโปร่งใส ซึ่งกองทุนรวมอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายเพื่อให้นักลงทุนได้รับความเป็นธรรมจากการลงทุนและกองทุนมีความรับผิดชอบหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น
  • มีผู้จัดการที่มีความมืออาชีพสูง ในการจัดการเงินลงทุนของผู้ซื้อกองทุนรวม
  • รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับกองทุนเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรได้ตั้งเอาไว้
  • สะดวก รวดเร็วและไม่ต้องใช้เวลานานในการศึกษาข้อมูล สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการลงทุนระยะยาวแต่ยังไม่รู้ว่าจะลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ไหนดี กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีและไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวม

  • ไม่มีสิทธิ์ในการจัดสรรเงินลงทุนได้เอง เนื่องจากนักลงทุนนำเงินของตัวเองไปให้ผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลในการซื้อสินทรัพย์
  • ราคาของกองทุนรวมจะเป็นราคา NAV หรือเปลี่ยนราคาวันละครั้งเท่านั้น ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีหรือ Real time
  • บางกองทุนมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่แพง โดยเฉพาะกองทุนแบบ Active
  • ไม่มีการรับประกันผลตอบแทน การลงทุนในกองทุนรวมก็มีความผันผวนของราคาตามสินทรัพย์ที่อยู่ในกองทุน บางวันกองทุนรวมอาจมีมูลค่าอ่อนตัวลงหรือบางวันมีมูลค่าที่สูงขึ้นนั้นเอง
  • การซื้อขายเป็นแบบวันต่อวัน อีกหนึ่งข้อแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวม คือการซื้อขายทำได้แบบวันต่อวันเท่านั้น ไม่เหมือนกับหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวัน

ข้อดี – ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวมมีอะไรบ้าง

ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม

  • การกระจายความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนรวมถือเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างดีเนื่องจากการซื้อกองทุนรวมเป็นการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัยพ์กระจายๆ ไม่ได้ลงทุนตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก 
  • สามารถเข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่ได้มีเงินทุนมากนัก ในการลงทุนหลักทรัพย์แบบหลายตัว
  • มีความโปร่งใส ซึ่งกองทุนรวมอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายเพื่อให้นักลงทุนได้รับความเป็นธรรมจากการลงทุนและกองทุนมีความรับผิดชอบหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น
  • มีผู้จัดการที่มีความมืออาชีพสูง ในการจัดการเงินลงทุนของผู้ซื้อกองทุนรวม
  • รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับกองทุนเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรได้ตั้งเอาไว้
  • สะดวก รวดเร็วและไม่ต้องใช้เวลานานในการศึกษาข้อมูล สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการลงทุนระยะยาวแต่ยังไม่รู้ว่าจะลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ไหนดี กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีและไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวม

  • ไม่มีสิทธิ์ในการจัดสรรเงินลงทุนได้เอง เนื่องจากนักลงทุนนำเงินของตัวเองไปให้ผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลในการซื้อสินทรัพย์
  • ราคาของกองทุนรวมจะเป็นราคา NAV หรือเปลี่ยนราคาวันละครั้งเท่านั้น ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีหรือ Real time
  • บางกองทุนมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่แพง โดยเฉพาะกองทุนแบบ Active
  • ไม่มีการรับประกันผลตอบแทน การลงทุนในกองทุนรวมก็มีความผันผวนของราคาตามสินทรัพย์ที่อยู่ในกองทุน บางวันกองทุนรวมอาจมีมูลค่าอ่อนตัวลงหรือบางวันมีมูลค่าที่สูงขึ้นนั้นเอง
  • การซื้อขายเป็นแบบวันต่อวัน อีกหนึ่งข้อแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนรวม คือการซื้อขายทำได้แบบวันต่อวันเท่านั้น ไม่เหมือนกับหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวัน

ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนรวม

  • กองทุนรวมผลตอบแทนจะได้จากกำไรส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งรายได้จากกำไรส่วนต่างนี้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
  • เงินปันผล นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลตามที่กองทุนรวมตั้งไว้ โดยรายได้จากส่วนจะต้องเสียภาษีเงินได้
  • ได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบแทนในส่วนนี้จำเป็นต้องเสียภาษี

นักลงทุนแบบไหน เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวม

สำหรับนักลงทุนท่านใดที่กำลังสนใจในการลงทุนกองทุนรวม วันนี้เราจะมาบอกว่ากองทุนรวมเหมาะสมกับใคร จะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนนั้นเอง

  • เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงความผันผวนของราคาหุ้นที่มีอยู่ในกองทุนได้
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนได้ในระยะยาวหรือกลางได้ การลงทุนในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าระยะสั้น
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้สิทธิประโยนชน์การลดหย่อนภาษี
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงิน
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์ที่หลากหลาย

บทบาทที่สำคัญของกองทุนรวมที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ

  • เป็นหนึ่งในตัวแปรที่สำคัญของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
  • การลงทุนทำให้มีการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น
  • หน่วยธุรกิจที่ลงทุนจะช่วยในการกระจายทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกด้วย
  • ซึ่งการลงทุนในกองทุนจะเป็นการนำเงินเข้าสู่ระบบทำให้เกิด การลงทุน, การจ้างงานและการใช้จ่ายที่สูงขึ้น

สรุป

  • กองทุนรวมเหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่และนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์แต่มีเงินทุนก้อนไม่ใหญ่มาก
  • อีกทั้งยังเหมาะกับใครก็ตามที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างในการศึกษาหาข้อมูลเรื่องหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ เพียงแค่เลือกกองทุนที่น่าสนใจและให้ผู้จัดการกองทุนเป็นคนดูแลในการซื้อสินทรัพย์
  • แต่กองทุนรวมไม่เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นเนื่องจากไม่สามารถซื้อขายได้แบบรายชั่วโมงหรือรายนาที จะเหมาะกับคนที่ต้องการถือสินทรัพย์หรือหุ้นในระยะยาวมากกว่า 6 เดือน ถึงจะเห็นกำไรมาก
  • นอกจากนี้กองทุนรวมยังเหมาะกับใครก็ตามที่กำลังจะเก็บเงินแต่ไม่ชอบวิธีการออมแบบฝากธนาคารลองเลือกกองทุนรวมสักหนึ่งกองทุนที่สามารถถือได้ระยะยาวและมีความเสี่ยงจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากแน่นอน